เหมาะกับ: สินค้าขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก หรือสินค้าที่ไม่ต้องการความเร่งรีบ เช่น เครื่องจักร อะไหล่หรือ เฟอร์นิเจอร์ 

ข้อดี: 

• ค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่าการขนส่งแบบอื่น
• สามารถรองรับสินค้าปริมาณมาก 
• ปลอดภัยสำหรับสินค้าที่ต้องการการขนส่งในระยะยาว 

ข้อเสีย: 

• ใช้เวลานาน (15-30 วัน) นับจากวันที่ปิดตู้ (ขึ้นอยู่กับระยะทางและตารางเดินเรือ) 
• อาจมีความล่าช้าขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและกระบวนการศุลกากร 

2. การขนส่งทางอากาศ (Air Freight) 

เหมาะกับ: สินค้าขนาดเล็ก น้ำหนักเบา มีมูลค่าสูง หรือสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องสำอาง สินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม สินค้าทางการแพทย์หรือของเน่าเสียง่าย เป็นต้น 

ข้อดี: 

• ใช้เวลาขนส่งสั้น (3-7 วัน) 
• ปลอดภัยสูง ลดความเสียหายของสินค้า 

ข้อเสีย: 

• ค่าขนส่งสูงกว่าการขนส่งทางเรือมาก 
• มีข้อจำกัดเกี่ยวกับประเภทสินค้าขนส่งและขนาดของสินค้า 

3. การขนส่งทางรถบรรทุก(TruckFreight)  

เหมาะกับ: สินค้าที่ต้องการความรวดเร็วมากกว่าทางเรือ แต่มีต้นทุนต่ำกว่าทางอากาศ เช่น อาหารแห้ง อุปกรณ์ก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า 

ข้อดี: 

• ใช้เวลาขนส่งปานกลาง (7-15 วัน) นับจากวันที่ปิดตู้ (ขึ้นอยู่กับระยะทางและกระบวนการผ่านด่าน) 
• ค่าขนส่งไม่สูงมาก 
• สะดวกสำหรับการขนส่งภายในเอเชีย 

ข้อเสีย: 

• ความปลอดภัยอาจต่ำกว่าทางอากาศ 
• อาจมีข้อจำกัดเรื่องเส้นทางและด่านศุลกากร 

4. การขนส่งทางไปรษณีย์ (Courier & Express Delivery) 

เหมาะกับ: สินค้าขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และต้องการความรวดเร็ว เช่น เอกสาร สินค้าตัวอย่าง สินค้าอีคอมเมิร์ซ 

ข้อดี: 

• ความสะดวกสบาย สามารถติดตามสถานะการจัดส่งได้แบบเรียลไทม์ 
• ใช้เวลาขนส่งสั้น (3-10 วัน) 
• เหมาะกับสินค้าปลีกที่ส่งตรงถึงลูกค้า 

ข้อเสีย: 

• ค่าขนส่งสูงกว่าทางเรือและทางรถ 
• มีข้อจำกัดเกี่ยวกับขนาดและประเภทของสินค้า